นายพชรพรรธนประเทศ(ทนายช้างขอนแก่น)
 เข้าสู่ระบบ - สมัครสมาชิก  |  
 ตะกร้าสินค้า (0)
   Main webboard   »   กฎแห่งกรรม
 ย้อนกลับ  |  ตั้งกระทู้ใหม่  
Started by
Topic:   เส้นทางธรรม  (Read: 1913 times - Reply: 0 comments)   
นายพชร (Admin)

Posts: 18 topics
Joined: 30/11/2553

เส้นทางธรรม
« Thread Started on 26/12/2553 23:41:00 IP : 125.26.157.152 »
 

ตามรอยเส้นทางธรรม

January 13th, 2010 |

ซึ่งก็มีอยู่ครั้งหนึ่ง ขณะนั่งภาวนาปักกลดอยู่ริมแม่น้ำศรีสงคราม ครั้งนั้นเราบำเพ็ญอยู่ที่นั่น มีเทวดามาเป็นจำนวนมาก ทั้งพญานาค มาลักษณะเหมือนคนทั่วไปนี่แหละ แต่ว่าตาไม่มีตาดำนะ แววตาไม่มีตาดำสว่างเหมือนกับแสงเทียนเหลืองสุก ไม่กระพริบตา แต่เรารู้ว่าเป็นพญานาค เป็นเทวดา เพราะว่าสภาวะเขามันแตกต่างกัน พอมาเขาก็มาถามข่าวคราวว่า “พระคุณเจ้ามาจากที่ใด เดินทางไกลเหนื่อยไหม?” เราก็ตอบว่า “ ไม่เหนื่อย เรามากับพระพุทธเจ้า เราไม่เหนื่อย และเราก็จะไปพร้อมกับพระพุทธเจ้า เราไม่เหนื่อย เรามากับพระธรรมอันบริสุทธิ์ เรามากับภูมิธรรมแห่งพระอริยะโดยบริสุทธิ์ ถึงพร้อมด้วยการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ท่านทั้งหลายเป็นอย่างไรบ้าง” ก็ถามข่าวคราวกันไปกันมา เราก็ได้บอกถึงสารทุกข์สุกดิบของตนเอง ก็เกิดความประทับใจ ศรัทธาในปฏิปทาของเรา จึงได้อาราธนาขอฟังพระธรรมเทศนา เราก็ได้แสดงธรรมให้ฟังพอสังเขปโดยครั้งนั้น เราก็ได้ให้พรหมวิหาร ธรรม ให้เขาถึงความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ให้เขามีพรหมวิหารธรรมที่บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ให้เขามีด้วยใจที่บริสุทธิ์ ด้วยใจที่เด็ดเดี่ยว เมตตาก็เมตตาด้วยใจที่เด็ดเดี่ยว กรุณาก็กรุณาด้วยใจที่เด็ดเดี่ยว มุทิตาก็มุทิตาด้วยใจที่เด็ดเดี่ยว อุเบกขาก็ต้องอุเบกขาด้วยใจที่เด็ดเดี่ยวด้วย โดยเฉพาะการมีอุเบกขาในครั้งนั้นเราให้ เทวดาทั้งหลาย พญานาคทั้งหลาย ลับแลทั้งหลาย บังบดทั้งหลาย รุกขเทวดาทั้งหลาย ว่า อุเบกขา นั้นไม่ใช่การวางเฉยไปเลย แต่เป็นการเฝ้าดูโดยความสงบนิ่งของจิต ไม่มีอารมณ์อื่นแทรกแซง ท่านทั้งหลายจงมีอุเบกขาแบบอุเบกขาผู้มีปัญญา อุเบกขาแบบผู้มีปัญญาคือการเฝ้าดูอยู่ไม่ให้ตนเองพลาดพลั้ง ไม่มีสิ่งที่ไม่ดี ไม่สิ่งที่เป็นอกุศลนั่น

เทวดาทั้งหลายเหล่านั้นก็เกิดความปีติ ชื่นชม ยินดีในธรรมเหล่านี้ เกิดแสงสว่างไสวเรืองรอง บางตนที่มีรังสีเศร้าหมอง ฉับพลันก็เกิดความสว่างไสวขึ้นมาแทน พอจบการแสดงโดยเล็กน้อย เขาก็ได้กราบอาราธนาลาเราไป โดยการกระจายกันออกไปเรื่อยๆ นะ เลื่อนหายออกไปกันเรื่อยๆ ไม่ได้เดินนะ เลื่อนหายจางหายไปเรื่อยๆ เหมือนกับน้ำที่เทลงในกระดาษนี่แหละ เป็นเรื่องแปลกมาก เหมือนกับควันที่มันลอยไปในอากาศแล้วค่อยๆ หายไปเรื่อยๆ จะเป็นลักษณะอย่างนี้ตลอดในช่วงที่เราออกจาริกวิเวกตามริมแม่น้ำโขงบางทีก็ ไปเจอเรื่องแปลกประหลาดหลายๆ อย่าง ถ้าเราไปเจอห้วย เจอแม่น้ำที่มันเป็นปากแม่น้ำลงมาถึงแม่น้ำโขงเราก็ลอยข้ามไป บางทีฟลุกๆ ก็เดินข้ามได้ กระโดดข้ามไปเลย เออ…อัศจรรย์ดี เด็ดหัวหญ้าโยนลงน้ำกลายเป็นเรือ กระโดดขึ้นเรือแล้วก็ไหลไปเลย ประสบการณ์ครั้งธุดงค์ไปอยู่ที่ไหน ทั้งสัตว์พิษ สัตว์อะไรต่างๆ เขาก็ไม่ได้ทำร้ายอะไร

จากนั้นออกจากฝั่งแม่น้ำศรีสงคราม ก็เดินต่อไปเรื่อยๆ จากอำเภอบึงกาญน์ เดินถึงปากคาด ถึงหนองคาย แล้วก็ได้เดินขึ้นไปกราบหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ ที่วัดอรัญญบรรพต บ้านหม้อ จังหวัดหนองคาย ก็ไปพักอยู่วัดอรัญญบรรพตอยู่ประมาณ ๑ อาทิตย์ ก็ลาหลวงปู่เหรียญ เดินไปอยู่วัดหินหมากเป้ง ก็ไปอยู่วัดหินหมากเป้งระยะหนึ่ง ก็ได้รับธรรมจากหลวงปู่เทสก์ เทสฺรํสี ซึ่งก็เป็นน่าอัศจรรย์มาก ไปอยู่กับพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ท่านก็ให้ธรรมะชั้นสูง ให้ได้รู้สิ่งอัศจรรย์วิเศษหลายๆ อย่าง ซึ่งเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นทางแห่งความหลุดพ้น ก็เดินจาริกไปเรื่อยๆ จากวัดหินหมากเป้งจนถึงอำเภอเชียงของ จากนั้นก็เดินจากอำเภอเชียงของไปถึงอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ข้ามไปโน้นเลย แต่ว่าเดินด้วยเท้าเปล่านะ ใช้ระยะเวลาอยู่ที่วัดป่าถ้ำงาม ตำบลหนองเบี้ย ซึ่งก็ขึ้นไปอยู่ในถ้ำนั้นระยะหนึ่ง

จากนั้นก็ลาเดินทางกลับอีสาน เดินด้วยเท้าเปล่าเหมือนกัน ก็กลับมา เดินทางมาเรื่อยๆ บางทีก็หลงทางบ้าง จนมาถึงจังหวัดนครสวรรค์ แล้วก็เดินต่อไปจังหวัดอุทัยธานี เดินหลงทางอีกไปเรื่อยๆ ไปทะลุ อำเภอบ้านไร่ ไปอยู่ถ้ำพุหวาย ไปถึงอุทัยธานี แล้วก็เดินไปถึงอำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี จากนั้นก็เดินอยู่แถวนั้นแหละ วนเวียนอยู่ถ้ำพุหวายบ้าง ก็ไปด่านช้างบ้าง จากนั้นก็เดินไปสิงห์บุรี กลับจากสิงห์บุรีก็จาริกมาสระบุรี ผ่านลพบุรี มาสระบุรี จากนั้นก็ไปพักอยู่เขาโป่งแล้ง ซึ่งก็อยู่ใกล้ๆ กันกับวัดของพระอาจารย์สมชาติ ธรรมโชโต ก็ได้ไปจำพรรษาอยู่กับท่านอาจารย์สมชาติ ที่สำนักแสงธรรมส่องชีวิต อำเภอหนองแค สี่แยกหินกอง ก็ไปบำเพ็ญอยู่กับพระอาจารย์สมชาติอยู่ ๑ พรรษา จากนั้นก็ข้ามไปเขาโป่งแล้งบ้าง บำเพ็ญบนเขาโป่งแล้งบ้าง บางทีก็เดินไปถึงพระพุทธบาทพระฉาย ก็ไปอยู่ในป่า ไปบำเพ็ญอยู่ในป่าหลังค่าย จปร. จังหวัดนครนายก ก็ไปบำเพ็ญอยู่ที่นั้นบ้าง แถวนั้นผีเยอะ ตรงนั้นสมัยนั้นมันเป็นกระต๊อบหญ้าอยู่ในร่องเขาเข้าไปอยู่ก็มีพระปฏิบัติดี อยู่ข้างในประมาณ ๗ – ๘ รูป สัตว์ร้ายเยอะมาก มีน้ำไหลมาจากหลังเขา เราก็บำเพ็ญอยู่นั่นพอสมควร จากนั้นก็กลับมาที่สำนักแสงทองส่องชีวิตอีก

เสร็จจากนั้นจึงได้เดินทางกลับมาอยู่ที่วัดป่าดอนธาตุระยะหนึ่ง ก็เลยออกธุดงค์ไป จังหวัดกาฬสินธุ์ อยู่แถวอำเภอสหัสขันธ์ อำเภอบ้านหนองกุงศรี ตามลำน้ำปาว แม่น้ำลำปาว เราเดินรอบหมดแถวนั้น ภูสิงห์ ภูปอ ก็ขึ้นไปกราบพระใหญ่ ก็ได้ไปอยู่ที่กาฬสินธุ์ ระยะหนึ่ง ตรงที่เราอยู่ที่กาฬสินธุ์เดี๋ยวนี้เป็นวัดแล้ว น่าจะทุกจุดนะที่เราได้ปักกลด จะกลายเป็นวัดหมด ทุกวันนี้แปลกมากเลย ถ้าตามย้อนรอยที่เราเคยอยู่นี้ ก็จะมีพระไปอยู่ ไปสร้างโน้นสร้างนี้ขึ้น ก็น่าแปลกมากเลย จากกาฬสินธุ์ก็เดินจาริกธุดงค์ไปถ้ำช้างสีนั้น ก็เดินวนเวียนในภูพานนั้นแหละ ข้ามเขาลูกนั้นไปลูกนี้ ปักกลดตามยอดเขาบ้าง ตามร่องเขาบ้าง โอ้ย! ไปทั่วหมดเลย สัตว์ร้ายเยอะ มีงูเห่า งูจงอาง

ช่วงหนึ่งก็เดินธุดงค์ไปใกล้ๆ กับบ้านสร้างค้อ ในป่าในเขาลึกมาก ห่างจากบ้านคนประมาณเขาสองสามลูกนี่แหละ เดินไปเราไม่รู้ว่ามันมีงู มันอยู่ใต้ใบไม้ ก็เหยียบเข้า มันลุกขึ้นเป็นงูจงอางตัวเบ้อเริ่มเลย ระยะห่างกันแค่ไม่ถึงวา ตัวใหญ่มากชูคอขึ้นท่วมหัวเลย ตอนนั้นเราก็ไม่สูงนักเตี้ยๆ คิดว่าถ้าจะวิ่งคงไม่ทันแน่เลยคิดว่า เอาละ ตายก็ตาย ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เอามือประสานกันเข้าที่ตัก ยืนหลับตานิ่ง รอดูว่ามันจะสับหรือไม่สับ ถ้าสับก็นึกว่าเป็นกรรมเก่า เราชดใช้กันไปก็จบแค่นั้น พอหลับตาอยู่น้านนาน มันก็ไม่ทำอะไร หลายชั่วโมงมาก ลืมตาขึ้นมาก็ไม่เห็นมันแล้ว มันไปแล้ว

ใกล้ๆ ที่เดียวกันเราเดินต่อไปอีก ก็ไปโดนงูกัดเป็นงูเห่า ช่วงพลบค่ำนี่แหละ งูเห่ากัดยังมีรอยอยู่นี่ (หลวงปู่ชี้ให้ดูที่ขา) ไปเหยียบมัน เหยียบงูจงอางไม่กัด แต่ว่าไปเหยียบงูเห่ากัด อ้าว! อะไรนี่ มันเป็นกรรมอะไรกันนี่ พอโดนกัดสักพักหนึ่งมันจะรู้สึกชาแล้วก็เคลิ้มเลยนะ ซึมเลย มันก็ไม่หนี กัดแล้วฟันมันก็หักติดอยู่กับข้อเท้าเรา มันก็อยู่เฉยๆ มันไม่หนีเลย ใจเย็นมาก เราก็เลยนั่งภาวนาตรงนั้น คิดว่าตายก็ตาย ขอตายในท่านั่งนี้แหละ อ้าว! นั่งอยู่รู้สึกว่าจิตนิ่งมาก ความรู้สึกเหมือนกระดูกเราผ่องใสมาก ธาตุขันธ์นี่ใส เบาโล่งไปหมดเลย ปรากฏว่าลืมตาขึ้นมางูมันหนีไปแล้ว แต่ในขณะที่นั่งภาวนานี้รู้อยู่ว่ามันค่ำมันมืด ๓ วัน ๓ คืน นั่งอยู่นั่น น้ำเหลืองไหลลงปากแผลเยิ้มเยอะมาก ไหลๆ ปรากฏว่าหายเป็นปลิดทิ้งเลย พอออกจากสมาธิมานี่ นั่งอยู่นั่น ๓ วัน ๓ คืน ยังเป็นรอยแผลเป็นรอยเขี้ยวงูอยู่นี่ (พลางชี้ให้ดู) ตัวแผลยังอยู่ แต่ก็ไม่ได้กังวลอะไรแล้วขณะนั้น ถือว่าเป็นพระคุณของพระพุทธเจ้าแน่นอนเลย เป็นความวิเศษของพระพุทธเจ้า ของพระธรรม ของพระอริยเจ้า กรรมนั้นได้จบลงแล้ว พอมารู้ทีหลังว่า อ้อ! ที่จริงแล้วเขาก็คือภรรยาเก่าในอดีตชาติที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา เคยหลายๆ อย่างมา ก็เราเคยทำร้ายเขาด้วย เขาก็เลยมาชดใช้กรรมที่เราเคยทำร้ายเขาอย่างนั้นมันก็จบกันไปแล้ว ไม่มีกรรมต่อกันอีก เราก็อโหสิกรรม พอลุกขึ้นมาได้ก็ค่อยๆ เดินพยุงธาตุขันธ์ไป

หน้าที่: 1 2 3 4 5 6 7 8 9

 
   Link to Post - Back to Top

Bookmark and Share

กรุณาเข้าสู่ระบบหรือสมัครสมาชิกก่อนโพสข้อความค่ะ
»
คลิ๊กที่นี่
   Main webboard   »   กฎแห่งกรรม
 ย้อนกลับ  |  ตั้งกระทู้ใหม่  
Advertising Zone    Close

Online: 1 Visits: 74,878 Today: 4 PageView/Month: 146

ด้วยความปราถนาดีจาก "สยามทูเว็บดอทคอม" และเพื่อป้องกันการเปิดเว็บไซต์เพื่อหลอกลวงขายของ โปรดตรวจสอบร้านค้าให้แน่ใจก่อนตัดสินใจซื้อของทุกครั้งนะคะ    อ่านเพิ่มเติม ...